1. เราไม่สามารถควบคุมทุ กอย่ างในชีวิต แต่เราสามารถเลือกสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้
ความพย าย ามไม่ใช่ตัวกำหนดความสำเร็จของเรา แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่
เราอาศัยอยู่ต่างหากไม่ว่าจะเป็นคนที่คบหา ค่านิยม งานอดิเรก เวลาที่ใช้ไป
แต่ละวันล้วนเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของเรา
ในวันที่เราเจออุปสรรคและค้นพบว่าสภาพแวดล้อมนี้เป็นกรงขังที่ทำให้ชีวิตเรา
ไม่ไปไหนสักทีอย่ าพย าย ามเอาชนะในสิ่งที่เราไม่มีวันชนะมันได้ ดึงดันไป
กับสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมนั้นไม่มีประโยชน์
แต่ให้หันมาเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับความต้องการ แล้วในที่สุดมัน
จะอยู่ใต้การควบคุมของเราเอง
2. ปล่อยวางอดีตและใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
เราอาจเข้าใจว่า ชีวิตจะดีขึ้นก็ต่อเมื่อบ าดแผ ลจากอดีตหายไปเราจึงให้ความสำคัญ
กับสิ่งที่ผ่ านมาแล้วแต่ตราบใดที่เรายัง ‘รู้สึก’ กับเรื่องราวในอดีต เราจะไม่มีวันอยู่
กับปัจจุบันได้เลยนั่น เพราะเมื่อเวลาผ่ านไป
ความทรงจำที่เป็นข้อเท็จจริงจะค่อย ๆ หายไป แต่ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้น ความรู้สึก
ขณะนั้นยังคงอยู่ เช่น ความทรงจำเมื่อไปคอนเสิร์ตเมื่อสองปีก่อน เราจำไม่ได้
หรอกว่ามีเพลงกี่เพลงที่นำมาแสดงบ้าง
จำเวลาที่เริ่มงานไม่ได้ มีเพียงความทรงจำที่เลือนรางเท่านั้น แต่เราจำความรู้สึกนั้นได้
ความสุข ความตื่นเต้นมันยังประทับอยู่ในใจเราเสมอ เพราะอ ารมณ์มีผลมากกว่าที่เราคิด
มันฝังแน่นอยู่ในใจเราจนทำให้เราเดินออกมาจากอดีตไม่ได้
อย่ าให้ความรู้สึกในอดีตมีอิทธิพลต่อความสุขในปัจจุบันการอยู่กับปัจจุบันจะเป็นตัว
กำหนดอนาคตของเรา เมื่อเราละทิ้งสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่ านมาใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
สิ่งนี้จะทำให้เราได้เริ่มต้นใหม่เพื่อปูทางไปสู่อนาคตที่เราสามารถควบคุมได้
3. ทุ กช่วงเวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่ าปล่อยให้เวลาผ่ านไปเฉย ๆ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะคิดว่าทุ กช่วงเวลาเป็นสิ่งมีค่า คนเหล่านี้จะไม่เฝ้ารอให้โอกาสมาถึง
แต่เดินไปหาโอกาสคนเหล่านี้จะตัดสินใจเริ่มทำทันที เรียนรู้ไปกับก้าวเดินที่มาพร้อมกับ
อุปสรรคมากกว่ารอให้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
หลายคนคิดว่าเรามีเวลาทั้งชีวิตที่สามารถทำอะไรก็ได้ เราลังเล ผัดวันประกันพรุ่ง หาข้ออ้างต่าง ๆ
นานาจนสุดท้ายไม่สามารถทำสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ให้เสร็จได้ปัญหาคือการที่เราคิดว่าเรา ‘มีเวลา’
เป็นตัวการ
ที่จะทำให้เราไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะเราคิดว่ามีเวลา จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ ฉะนั้น หันกลับมาให้
คุณค่ากับทุ กช่วงเวลาจะเป็นโอกาสที่จะทำให้เราบรรลุในสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ได้เร็ว
และมีประสิทธิภาพ
4. ความคิดและทัศนคติมีพลังเปลี่ยนแปลงตัวเองมากกว่าการกระทำ
ความคิดและทัศนคติเป็นพลังขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงทุ กอย่ างบนโลกใบนี้
รวมถึงตัวเราเองด้วย บางคนเชื่อว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะทำงานชิ้นนี้ได้
สิ่งที่ตามมาคือความพย าย าม
ฝึกฝนจนกว่ามันจะสำเร็จ เพราะคนเหล่านี้เชื่อในพลังของตัวเอง เชื่อว่าโลกใบนี้สามารถ
เปลี่ยนแปลงได้ถ้าเราเปลี่ยนความคิด แต่สำหรับบางคนที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีความ
สามารถพอ หยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
สุดท้ายคนที่มีความคิดเช่นนี้จะไม่ได้ทำอะไรเลย และถึงทำผลลัพธ์ที่ออกมามักจะไม่ใช่
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะคนเหล่านี้ใช้ความพย าย ามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งความจริง
คนเหล่านี้อาจจะมีความสามารถมากกว่าที่ตัวเองคิดก็ได้
เพราะความคิดและทัศนคติเป็นตัวผลักดันที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดการลงมือทำ ทำให้
กระบวนการทำงานและผลลัพธ์เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปลี่ยนความคิด
ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย
5. เราไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่คนเดียว ทุ กคนต่างมีปัญหาเป็นของตัวเอง
คนเรามีนิสัยชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และบ่อยครั้งที่รู้สึกว่าเราสู้คนอื่นไม่ได้ เรามัก
คิดว่าปัญหาตัวเองเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่นเสมอ เน้นย้ำและให้ความสำคัญกับมัน
มากเกินไปจนลืมว่าคนอื่นก็พบเจอปัญหา
เช่นเดียวกับเราทุ กคนต่างมีปัญหาเป็นของตัวเอง เราไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่คนเดียวบนโลก
เราต่างมีความไม่มั่นคงในชีวิตความกลัว ความกังวล หยุดคิดว่าตัวเองแ ย่กว่าคนอื่น
หยุดเอาปัญหาวางไว้จุดศูนย์กลางของชีวิต
หยุดวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตตัวเองโดยนำคนอื่นมาเปรียบเทียบ เพราะสถานการณ์ของแต่ละคนนั้น
ไม่เหมือนกันสิ่งที่ควรทำคือเรียนรู้ เข้าใจ และจดจำ จากประสบการณ์ที่ได้ผ่ านมันมา
6. สุ ขภาพที่ดีคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
ในตอนนี้ถ้าถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คำตอบเราคงจะไม่พ้นเรื่องของเงิ นท อง
หรือเรื่องของการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เมื่อเวลาผ่ านไปสิบปี
คำตอบของเราก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้ แต่คำตอบของเราก็คงจะหนีไม่พ้นการมีสุ ขภาพดี ไม่
เจ็ บป่ วยใด ๆ มหาตมะ คานธีบอกไว้ว่า
“ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือการมีสุ ขภาพที่ดี มิใช่การมั่งมีเงิ นท อง” การรั กษาสุ ขภาพเป็น
การลงทุนระยะย าวที่เห็นผลที่สุดคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อตัวเองที่สุด เพียงรั กษา
ความสมดุลของชีวิตในการทำงานและเวลาส่วนตัว หาเวลาออกกำลังกาย
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทาครีมกันแดดเป็นประจำ เมื่อเรา
มีสุ ขภาพที่ดีเราจะมีพลังทำในสิ่งที่เราอย ากทำ ไม่มีอุปสรรคในการทำงาน
และยังสามารถท่องเที่ยวได้อย่ างไม่มีข้อจำกัด
7. มิตรภาพ ระหว่างเพื่อน มีเริ่มต้นและต้องจบลงในสักวัน
ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเท่านั้น เพื่อนในชีวิตเรา
จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิต ช่วงอายุ
เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนในชีวิตเราจะหายไปบ้าง บางคนอาจจะเข้ามาและจากไป
ไม่ว่าเหตุผลของการจากไปจะเป็นอะไรก็ตาม ขอให้รู้ว่าการเปลี่ยนแปลง
จะทำให้เราเติบโต ขอให้มีความสุขกับปัจจุบันอย่ าฟูมฟายเมื่อความสัมพันธ์จบลง
และยิ้มอย่ างยินดีเมื่อมิตรภาพใหม่เริ่มต้นขึ้น
8. การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือจัดการต้นตอปัญหา ไม่ใช่ซุกไว้ใต้พรม
“ตราบใดที่คุณยังไม่รั กษารากของปัญหา ความเจ็ บป วดจะไม่หายไป คุณซ่อนมันได้
แต่ปัญหามันจะยังอยู่ถ้าเกิดคุณไม่ขุดมันขึ้นมา” เมื่อปัญหาเดิม ๆ
ที่เกิดขึ้นไม่หายไปสักทีอาจเป็นเพราะเรากำลังหลอกตัวเอง คิดว่าไม่เป็นไรหรอก
มันไม่ได้สำคัญอะไร การซุกปัญหาไว้ใต้พรมเช่นนี้
เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น แต่ในที่สุดมันจะเกิดขึ้นอีก มันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ
จนกว่าเราจะเจอต้นตอปัญหาที่แท้จริง ดังนั้น ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้น
เราอาจทิ้งมันไว้สักพักหนึ่งเพื่อให้เวลาตัวเองหาวิ ธีแก้ไข แล้วลงมือแก้มันทันที
เมื่อพร้อม อย่ าหมกไว้จนมันบานปลายกว่าเดิม
9. หมั่นหาความรู้ในสิ่งที่ยังไม่เคยรู้ เพื่อเพิ่มพูนทักษะใหม่ ๆ
ขงจื๊อกล่าวว่า “รู้ว่าตนเองมีสิ่งใดที่รู้และมีสิ่งใดที่ยังไม่รู้ สิ่งนี้คือความรู้ที่แท้จริง” การเรียนรู้
การบ่ มเพ าะประสบการณ์จะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิต
เราสามารถเพิ่มพูนความรู้ผ่ านการอ่ านหนังสือ ผ่ านการท่องเที่ยวหรือผ่ านการพูดคุย
กับผู้ที่มีประสบการณ์ วิ ธีทำให้ตัวเองเก่งขึ้นคือการพาตัวเองไปอยู่สถานที่ใหม่ ๆ
จะทำให้เราได้ลองอะไรใหม่ ๆ ออกจากเซฟโซน การทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนจะทำให้เรารู้ว่า
อะไรเป็นไปได้สำหรับเราบ้าง ดีกว่าการยึดติ ดกับชีวิตเดิม ๆ ที่ไม่มีวันได้ก้าวไปข้างหน้า
10. การรับรู้เรื่องราวชีวิตของคนอื่นให้พอดีจะทำให้เรามีความสุขขึ้น
ยิ่งเรารับรู้เรื่องของคนอื่นมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งรู้สึกแ ย่กับชีวิตมากเท่านั้น เพราะเราจะเกิดคำถาม
ในหัวอยู่บ่อยครั้งว่าทำไมชีวิตคนนี้ดูมีความสุขจัง ทำไมเราถึงเป็นแบบเขาไม่ได้นะ อย่ างแรก
เราต้องเข้าใจว่าชีวิตในโลกโซเชียลมีเดีย
ที่เราเห็นอาจไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต เราเห็นเพียงส่วนหนึ่งของความสุข ความสำเร็จ เห็นด้านที่
คนอื่นอย ากให้เห็นเท่านั้นและสิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้ ดังนั้น การรับรู้เรื่องราว
ชีวิตของคนอื่นอย่ างพอดี จะทำให้เราไม่นำตัวเอง
ไปเปรียบเทียบและมีความสุขขึ้น เปลี่ยนข่าวส ารที่เปรียบเทียบแล้วบั่ นทอนจิตใจเป็น ‘รับรู้’
เพื่อใช้มันเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาตัวเองดีกว่า
ขอบคุณที่มา : forlifeth