จงจำไว้ว่า จริย าที่เราจะต้องทรงใจให้ผ่องใส ดังนี้
1. ไม่มีกังวล (อดีตที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ อนาคตที่ยังมาไม่ถึง ก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง เลิกคิดมาก แล้วทำใจให้สบาย)
2. ระงับนิวรณ์ได้โดยฉับพลัน (ความพอใจ ความไม่พอใจ ความขี้เกียจ ความไม่สงบ ความสงสัย) เมื่อเราต้องการความเป็นทิพย์ของจิต
ขณะใดที่จิตต้องการสมาธิ ความเป็นทิพย์นี่มาจากสมาธิ มีความตั้งใจ จิตสะอาด ถ้าต้องการจิตเป็นสุขหรือต้องการสมาธิ ต้องระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด
3. ย ามปกติ เราจะไม่สนใจในจริย าของบุคคลอื่น ใครเขาจะดี ใครเขาจะเ ล ว มันเรื่องของเขา อย่ าโอ้อ ว ด อย่ ายกตนข่มท่าน อย่ าถือตัวเกินไป
4. ไม่ทำล ายศีลด้วยตนเอง และไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำล ายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำล ายศีลแล้ว (เพราะมีศีลจึงมีสุข)
5. จิตทรงพรหมวิหาร 4 ตลอดเวลา คือเป็นปกติตลอดวัน (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)
6. และขอแถมอีกนิดหนึ่งคือ ใจยอมรับนับถือความดีของพ ร ะพุทธเจ้า ความดีของพ ร ะธรรม ความดีของพ ร ะสงฆ์ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องต าย ถ้าต ายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น
ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้อย่ างนี้ ฌานสมาบัติจะทรงตัว คำว่าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กำลังใจไม่เสมอกัน สว่างบ้าง มืดบ้าง จะไม่มี จะมีแต่คำว่าผ่องใสเรื่อยขึ้นไปตามลำดับ
ขึ้นชื่อว่าการเกิดในอบายภูมิต่อไป ไม่มีแน่ จะเป็นการเกิดเป็นสั ต ว์น ร ก เป็นเ ป ร ต เป็นอ สุรก าย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เหล่านี้ไม่มีต่อไปอีก มีอย่ างเดียวคือมุ่งหน้าไปนิพพาน
ขอบคุณที่มา : ธ ร ร ม ะ ส วั ส ดี