Home บทความ วันหนึ่งนั้นถ้าเรา แ ก่ ตัวไป ใครเล่าจะมาเลี้ยงดู (อ่ า นแล้วจะเข้าใจดี)

วันหนึ่งนั้นถ้าเรา แ ก่ ตัวไป ใครเล่าจะมาเลี้ยงดู (อ่ า นแล้วจะเข้าใจดี)

ปิดความเห็น บน วันหนึ่งนั้นถ้าเรา แ ก่ ตัวไป ใครเล่าจะมาเลี้ยงดู (อ่ า นแล้วจะเข้าใจดี)
0

ต้องเข้าใจก่อนว่า ในสมัยก่อนนั้นมีแนวคิดที่ว่า มีลูกเพื่อหวังจะให้พวกเขาเลี้ยงดูใน ย า ม อายุมากขึ้นในวัยที่ ร่ า ง ก า ย

เริ่มโรยราดูแลตัวเองไม่ไหวแล้ว ซึ่งก็มักจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ว่าหากจะมองในความเป็นจริงแล้วมันยังจะใช้ความคิดแบบนี้ได้อยู่ไหม

“ มีลูกไว้… ตอน แ ก่ จะได้มีคนเลี้ยงดู ” ซึ่งมันจะแปลได้อีกทางว่า หากลูกไม่ยอมเลี้ยงดูคืออกตัญญู อ ย่ า ง นั้นหรือ

แบบนี้เป็นแนวคิดที่เห็น แ ก่ ตัวของพ่อแม่ไปหรือเปล่า ในปัจจุบันนี้ก็มีคนวัยชรา หลายคนมากที่เข้ากับครอบครัวของลูก ๆ

ไม่ได้ บางทีความคิดแบบเดิมมันอาจจะต้องปรับแล้วก็ได้ ทำไมไม่คิดว่า อ ย า ก

จะให้ลูกเลี้ยงดูในตอน แ ก่ เป็นการ จะเอาสมัยก่อนกับปัจจุบันมาเที่ยวกันมันไม่ได้ ที่พ่อแม่มีลูกตั้งหลายคนยังเลี้ยงได้

ทำไมลูกเลี้ยงพ่อแม่บ้างไม่ได้ ซึ่งมันก็อาจจะน่าคิด แต่ลองมองถึงค่าครองชีพและการใช้ชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน

สิมันเหมือนสมัยก่อนงั้นหรือ เรามีเรื่องราวน่า อ่ า น และอย ากให้ ทุ ก คนทำความเข้าใจตาม

ทั้งในมุมของคนเป็นพ่อแม่ และในมุมของความเป็นลูก เรื่องราวมี ดังนี้มีคุณแม่คนหนึ่ง

สามีจากไปนานแล้ว เธอสอนหนังสือหา เ งิ น เลี้ยงลูกชายจนโต เขาเป็นคนเชื่อฟังตั้งแต่ตอนเล็ก พอลูกโต

เธอก็ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ พอลูกเรียนจบก็อยู่ทำงานต่อที่ต่างประเทศ ทำงาน หา เ งิ น ซื้อบ้าน แต่งงาน

มีลูกหนึ่งคน สร้างครอบครัวที่แสนสุข ตัวเธอเองคิดถึงประโยคที่ว่ามีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอน แ ก่ คิดถึงสายตา อิ จ ฉ า

ของญาติๆและเพื่อนฝูง เธอมีความสุขจากใจ ระหว่างรอจดหมายตอบจากลูกชาย เธอก็จัดการเรื่องบ้านและงานจนเรียบร้อย

คืนสุดท้ายก่อนเธอจะเกษียณ เธอก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากต่างประเทศของลูกชาย พอเปิดออกดูข้างในก็เป็นเช็ค

ต่างประเทศ ตีเป็น เ งิ น ไทยได้มูลค่าประมาณ 1 แสนบาท เธอรู้สึกแปลกใจมาก เพราะลูกชายไม่เคยส่ง

เ งิ น ให้เธอมาก่อน เธอรีบเปิดจดหมายออกอ่ า น ในจดหมายเขียนว่า “แม่ครับ พวกเราได้คุยกันแล้ว ตั ด สินใจ

และสรุปว่า พวกเราไม่ยินดีให้แม่มาอยู่ด้วยกันที่นี่ ถ้าแม่คิดว่าแม่มีบุญคุณที่เลี้ยงดูผมมา คำนวณตามราคาตลาด

ก็ประมาณ เ งิ น ที่ผมส่งให้นี้ หวังว่าต่อไปนี้แม่จะไม่เขียนจดหมายมาอีก” แม่ อ่ า น จดหมายฉบับนั้นจบก็น้ำตาไหลพราก

รู้สึกว่าตัวเองลำบากเลี้ยงลูกคนเดียวมาตลอดชีวิต จากนี้ไปต้องอยู่อย่ างโดดเดี่ยว เธอรู้สึก แ ย่ มาก จากแต่

ก่อนที่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับลูก แต่มาตอนนี้กลับไมาเหลืออะไรอีกแล้ว ต่อมาเธอก็ศึกษา พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า

หลังศึกษา เธอก็คิดได้ เธอใช้ เ งิ น ที่ลูกได้มอบให้มาเอาไปเดินทางเที่ยวรอบโลก ได้เรียนรู้โลกกว้าง

ได้เห็นสิ่งใหม่ๆมากมาย หลังจากนั้นเธอจึงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับถึงลูกชาย ในจดหมายว่าลูกรัก ลูกไม่ อ ย า ก

ให้แม่เขียนจดหมายมาอีก ก็ถือซะว่าจดหมายฉบับนี้เป็นข้อความเพิ่มเติมจากฉบับที่แล้วละกัน แม่ได้รับเช็คแล้ว

และใช้ เ งิ น จำนวนนั้นไปเดินทางรอบโลก ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว อยู่ๆแม่ก็รู้สึกว่า แม่ควรขอบใจลูก ขอบใจที่ทำให้แม่เห็น

อะไรทะลุปรุโปร่ง ปล่อยวาง ทำให้แม่ได้เห็นว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวเพื่อน และคนรักไม่มีรากหยั่งลึก เปลี่ยนแปลงได้เสมอ

ถ้าวันนี้แม่ยังคิดไม่ ต ก ยังยึด ติ ด ยัง ทุ ก ข์ อยู่ แม่คงสิ้นลมหายใจไปภายในปีครึ่งปี การปฏิเสธของลูก ทำให้แม่ได้เห็นว่าคนเรามี

วาสนาก็ได้เจอ หมดวาสนาก็จากกัน ทุ ก อ ย่ า ง ไม่เที่ยงแท้ ทำให้แม่เรียนรู้ที่จะสงบและใจเย็น มอง ทุ ก อ ย่ า ง ในเชิงบวก

แม่ไม่มีลูกแล้ว ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง เพราะงั้นแม่ถึงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีมัน “พ่อแม่ที่น่า ส ง ส า ร ”

คนเป็นพ่อแม่อย ากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดมีคนกล่าวไว้ว่า บ้านของพ่อแม่คือบ้านของ

ลูกตลอดเวลา บ้านของลูกไม่เคยเป็นบ้านของพ่อแม่ การให้กำเนิดลูกเป็นงานที่ต้องทำ การเลี้ยงดูลูกเป็นภาระหน้าที่

การพึ่งพาลูกเป็นความเข้าใจผิด ช่างเป็นเรื่องราวที่ไม่น่าฟัง แต่ ก็ไม่ฟังก็ไม่ได้ แม้ว่าไม่ใช่ลูก ทุ ก คนจะเป็นแบบนี้

แต่คนเป็นพ่อแม่ไม่ควรคิดว่า แ ก่ แล้วจะพึ่งพาลูก พูดกันตามตรง อย่ าคาดหวังอะไรจากลูกๆ แม้คุณจะเลี้ยงดูเขามา

อ ย่ า ง ดีแล้ว ก็ตาม ต้องฝึกดูแลตัวเอง ลูกกตัญญูต่อคุณถือเป็นบุญ ถ้าลูกกตัญญูไม่พอพ่อแม่ก็บังคับไม่ได้ วิ ธี

ที่ดีที่สุดคือ วางแผนชีวิตพึ่งพาตัวเองตอน แ ก่ ไว้จากมุมมองของสังคม การมีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอน แ ก่ เป็นความปรารถนาในใจ

แต่ในยุคปัจจุบัน เศรษฐกิจ สังคม วัตถุนิยม วิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป สถานการณ์ในปัจจุบันคือ คนยุคใหม่เปลี่ยนไป

คนอายุมากยังยึด ติ ด การที่คนอายุมากยึดแนวความคิดว่ามีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอน แ ก่ ไม่เหมาะสมกับอีกต่อไป

สิ่งที่ตามมาคือ ความผิดหวังบนความคาดหวังที่ไม่สามารถคาดเดาได้ พ่อ แม่ ทวงบุญคุณกับลูกได้แต่มันไม่ใช่ลูก ทุ ก

คนที่มีศักยภาพพอที่จะดูแลพ่อแม่ได้ เพราะเพียงแค่ชีวิตและครอบครัวของเรามันก็ ต้องดูแลเช่นกัน การวางแผนดูแลตัวเองตอน

แ ก่ จึงเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อ แม่คนควรวางแผนและอย่ าฝากความหวังทั้งหมดมาทิ้งไว้ที่

ลูกได้แล้ว มันไม่ใช่ความผิดของลูกที่ดูแลคุณไม่ได้ แต่มันผิดที่คุณที่ไม่ยอมดูแลตัวเองต่างหาก ฝากไว้ให้คิดกันนะ

ที่มา b i t c o r e t e c h

Load More In บทความ
Comments are closed.

Check Also

คนที่ให้เงินเขายืม มักจำได้ แต่คนที่ไปยืมเงินเขามามักจะลืม

คนที่ให้เ งิ นเขา ยื ม มักจำได้ แต่คนที่ไปยื มเ งิ นเขา … …