Home บทความ คน 5 ประเภท ที่อาจมีโอกาสตกงานได้ ถ้าไม่มีการปรับตัว

คน 5 ประเภท ที่อาจมีโอกาสตกงานได้ ถ้าไม่มีการปรับตัว

ปิดความเห็น บน คน 5 ประเภท ที่อาจมีโอกาสตกงานได้ ถ้าไม่มีการปรับตัว
0

ดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้ จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เพราะ ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาเราต่างเห็นบริษัทต่างๆ

ทยอยปลดพนักงานออก ลดจำนวนพนักงานลงเพื่อลดรายจ่าย ไม่ค่อยรับพนักงานใหม่ๆเข้ามา พนักงานที่ได้อยู่ต่อก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น

 

บางครั้งต้องทำงานแทนตำแหน่ง คนที่ออกไปด้วย และ ในบางแห่งเริ่มแทนที่พนักงานด้วยหุ่นยนต์เพราะ ฉะนั้น

อย่าคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัว เพราะในหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มทยอยปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่

เมื่อทั้งโลกเริ่มขยับ ในไม่ช้าเราก็คงต้องปรับตัวตาม

 

1. คนที่ทำงานกับคนอื่นไม่เป็น

มีบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง กำลังรับสมัครพนักงาน และมีผู้มาสมัครงาน 6 คนก่อนรับเข้าทำงานทางบริษัทจึงได้ให้เงินจำนวน 75 บาท

แก่ผู้สมัครงานทั้ง6 คน เพื่อให้นำเงินนั้นไปซื้อข้าวกินด้วยกัน ในงบที่ให้ไป แต่เมื่อไปถึงร้านข้าวจานหนึ่งอย่างต่ำก็ 15 บาทแล้ว

 

และเงินที่ให้มานั้นไม่พอที่จะซื้อข้าวคนละจานได้แน่ๆ พนักงานเหล่านั้นจึงพากันกลับไปที่บริษัท และเมื่อไปถึงบริษัท

ประธานรู้เข้าว่าพวกเขากลับมามือเปล่า ก็ถึงกลับส่ายหัว แล้วพูดว่า“ ขอโทษด้วย ผมรับพวกคุณเข้าทำงานไม่ได้จริง ๆ

พวกคุณไม่เหมาะกับบริษัทของเรา ”

 

เหตุผลก็เพราะว่า ร้านอาหารร้านนั้น มีโปรโมชั่นซื้อ 5 แถม1 ซึ่งทั้ง 6 คนไม่มีใครรู้ หรืออ่านรายละเอียดเลย มันแสดงถึงความไม่ใส่ใจ

และถึงแม้จะไม่มีโปรโมชั่น ก็ยังสามารถซื้อข้าวมา 5 จานแล้วแบ่งใส่เพิ่มอีก 1 จานก็ได้ แต่ผู้สมัครทั้ง 6 คน

 

ไม่มีใครคิดว่ามาด้วยกันจึงไม่มีความเป็นทีม มีแต่คิดถึงตัวเอง หากเข้ามาอยู่ในองค์กรก็จะไม่รู้จักการทำงานเป็นทีมและนั่นก็คง

ไม่ต่างกับการทำงานแบบหุ่ น ย นต์

 

2. คนที่มองอะไรสั้นๆ ไม่มองไปข้างหน้า

ยกตัวอย่างเช่น นายดำและ นายแดง ได้เข้าไปฝึกงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง และเมื่อเรียนจบ ก็ได้ไปทำงานในบริษัทนั้น แต่บริษัทได้เสนอให้ทั้ง 2

ไปศึกษาดูงานที่สำนักต่างประเทศเป็นเวลา 2 ปี โดยจะได้รับเงินเดือนแค่ครึ่งเดียว และไม่มีค่าคอมมิชชั่นให้ นายดำรู้สึกว่าเงินเดือนที่ได้นั้นมันน้อยเกินไป

 

และยังต้องลำบากไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ไม่ฝูงก็ไม่มีสักคนเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ไป ในขณะที่นายแดง ตัดสินใจไปศึกษางานที่ต่างประเทศ

เพราะคิดว่าได้ไปเพื่อหาประสบการณ์ก็คุ้มค่าแล้ว แถมยังได้เงินเดือนอีกตั้งครึ่งหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี นายดำยังคงทำงานที่ตำแหน่งเดิม

 

เงินเดือนขยับขึ้นมานิดหน่อย ในขณะที่นายแดง ได้กลับมาเป็นหัวหน้าคนใหม่ของบริษัท และมีรายได้หลักแสนต่อเดือน ซึ่งมากกว่านายดำถึง 5เท่า

และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่า นายดำตัดสินใจผิดพลาด หรือนายแดงตัดสินใจถูกแต่อย่างใดนะ

 

แต่เป็นเพราะว่าทั้งคู่ต่างเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองในมุมมองของตัวเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าการตัดสินใจ

ในอดีตของเรา จะพาเราก้าวไปข้างหน้าได้มากน้อยแค่ไหน

 

3. ไม่หาความรู้เพิ่มเติม

โดยเฉลี่ยปกติแล้วคนเราจะใช้เวลาทำงาน วันละประมาณ 8 ชั่ วโมง ซึ่งมีคนรู้จักที่ได้ทำงานอยู่ในโกดังแห่งหนึ่ง หน้าที่ของเขาคือการเช็ค

จำนวนสินค้าในคลัง ซึ่งเป็นงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมากมาย หรือเสี่ ยงที่จะถูกหุ่ นย นต์มาทดแทนที่ในอนาคต

 

แต่ในการทำงานปีแรกของเขามีของที่ถูกส่งมาเป็นจำนวนมาก และหลังเลิกงานเขาจะใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม

และเขาก็ได้ค้นพบว่าของบางอย่างเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมาก และด้วยความที่เขาทำงานในแวดวงนี้ ทำให้เขาหาแหล่งผลิต

ที่ได้ต้นทุนในราคาถูกลง

 

จากนั้นเขาก็เริ่มสั่งสินค้ามาขายในออนไลน์ และก็ยังคงทำงานในโกดังเหมือนเดิม พอเวลาผ่านไป 3 ปี ธุรกิจค้าขายออนไลน์ของเขาเติบโต

อย่างรวดเร็ว ภายในเวลา 7 ปี เขาก็สามารถเปิดกิจการเป็นของตัวเองได้ นอกเหนือเวลาทำงาน 8 ชั่ วโมง เขายังคงทำงานและเรียนรู้เพิ่มเติม

 

นี่คือสิ่งที่แต กต่างกับคนอื่นๆ เขาไม่เคยหยุดเรียนรู้นอกเหนือจาก 8 ชั่ วโมงในเวลาทำงานเลย จึงทำให้เขาเติบโตและไปได้ไกลกว่าคนอื่น ๆ

และด้วยยุคสมัยนี้ที่อินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และยังเป็นแหล่งหาความรู้เพิ่มเติมได้ทุกๆ วัน นั่นเอง อะไรมันก็เลยดูง่ายขึ้นด้วย

 

4. คนที่ทำงานแบบเดิมๆซ้ำๆ

หลายคน ชอบงานที่ทำแบบซ้ำๆเดิมๆทุกวัน เพราะไม่ต้องคิดอะไรมากมายให้ป ว ด หั ว หรืองานง่ายๆที่อาศัยการจับวางไม่ได้มีการคิดวิเคราะห์

หรือการตัดสินใจอะไรมากมาย เป็นการทำงานแบบหุ่นยนต์

 

ก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ที่วันหนึ่งจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์เพราะหุ่นยนต์ไม่เคยหยุดทำงานไม่อู้งาน ไม่ต้องพักกินข้าว

หรือเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือน หรือขอสวัสดิการอะไรเพิ่ม แถมปัญหาก็น้อยลงตามไปด้วย

 

5. คนที่ไม่รู้จักวิธีการลงทุนในตัวเอง

หลายคนมักจะถูกสอนให้รู้จักประหยัดอดออม เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้ไม่ลำบาก แต่ไม่ค่อยสอนให้รู้จักหาเงิน สร้างรายได้ให้มากขึ้น

หากเราใช้เวลา1 ปี เพื่อให้มีเงินเก็บ 1 แสน เท่ากับว่า 10 ปี เราจะมีเงินเก็บ 1 ล้าน แต่แบบนั้นมันไม่ได้เรียกว่าคุณเก่งหรอกนะ

 

เพราะคุณต้องใช้เวลาถึง 10 ปี เพื่อเก็บเงินให้ได้จำนวน 1 ล้านบาท ในขณะที่บางคนอาจจะหาเงินล้านได้ภายในปีเดียวดังนั้น

สิ่งที่สำคัญในการนำ ไปสู่ความมั่งคั่ง ไม่ใช่การอดออม แต่เป็นการที่เรารู้จักลงทุนกับตัวเองให้ถูกทาง คุณก็จะได้กลับคืนมามากกว่านั้นหลายเท่าตัว

 

บางคนจ่ายเงินเพื่อไปเข้าฟิตเนสออกกำลังกาย… จนมีไอเดียและช่องทางที่จะทำธุรกิจ ขายอาหารเสริม สำหรับคนรัก สุ ข ภ า พ

หรือเปิดยิมเป็นของตัวเองแถมยังมีลูกค้าที่เจอในฟิตเนสตอนไปออกกำลังกายอีกบางคนจ่ายเงินเพื่อ ออกเดินทางเที่ยวรอบโลก…

 

ทำให้ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้นได้เห็นธุรกิจใหม่ๆที่ต่างประเทศที่ไม่มีในประเทศตัวเอง แล้วก็นำกลับมาต่อยอดที่บ้านตัวเอง…” เวลา ”

จะช่วยบอกเองว่า เงินที่คุณลงทุนไปกับตัวเองนั้น มันทำให้คุณได้อะไรกลับมาบ้าง และมันทำให้คุณมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้นได้หรือเปล่า

 

หาเงินได้เยอะขึ้นหรือเปล่าและมันจะเป็นการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ แต่ถึงมันจะไม่สำเร็จ

แต่มันก็จะให้ประสบการณ์ที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้กับคุณอยู่ดี

 

ขอขอบคุณ p o s t n o n a m e

Load More In บทความ
Comments are closed.

Check Also

คนที่ให้เงินเขายืม มักจำได้ แต่คนที่ไปยืมเงินเขามามักจะลืม

คนที่ให้เ งิ นเขา ยื ม มักจำได้ แต่คนที่ไปยื มเ งิ นเขา … …