“กระสอบ 2 ใบ” จากแม่ส่งถึงลูก เขียนได้ดีมาก
หลิวกังเป็นนักโ ทษคดีจี้ป ล้น ติ ดคุ กมาแล้วเป็นปีแต่ก็ไม่เคย
มีใครมาเยี่ยมเยือนเลยสักครั้งเห็นนักโ ทษคนอื่นมักมีญาติ ๆ มา
เยี่ยมพร้อมเสบียงอาหารจึงเพียรเขียนจดหมายถึงพ่อแม่วอนให้มา
เยี่ยมตนบ้างแม้จะส่งจดหมายไปแล้วหลายฉบับ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลิวกังเข้าใจว่าตนคงถูกพ่อแม่ตัดขา ดแล้ว เ สียใจและน้อยใจสุดท้าย
ก็ตัดสินใจเขียนจดหมายอีกครั้งบอกว่าหากไม่มาเยี่ยมอีก พวกเขา
จะสูญเสี ยลูกชายคนนี้ไปแน่นอนแท้จริงหลิวกังก็ไม่ได้ขู่พ่อแม่เล่น
เขาถูกนักโ ทษอีกหลายคนที่ต้องโ ทษฉกรรจ์ชักชวนให้ร่วมกัน
แ หกคุ ก อาจด้วยความน้อยเนื้ อต่ำใจที่ถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัด เขาจึง
ตัดสินใจเข้าร่วมกับคำชักชวนวันนั้นอากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ เป็นอีกวันหนึ่ง
ที่พวกเขากำลังร่วมวงคุยกันวางแผนเกี่ยวกับการแ หกคุ กครั้งนี้ แต่แล้วก็มีเจ้าหน้า
ที่เข้ามาแจ้งว่า“นักโ ทษหลิวกัง มีคนมาเยี่ยม” เขานึกสงสัยว่าใครมาเยี่ยมตน
พอหลิวกังโผล่เข้าไปในห้องเยี่ยม ก็ต้องต กใจแม่นั่นเอง แค่ไม่เจอแม่ปีเดียว แทบ
จะจำหน้าแม่ไม่ได้เลยอายุแม่ก็แค่ห้าสิบกว่า แต่หัวขาวโพลนหมดไปทั้งหัวหลัง
ค่อมงอเหมือนกุ้งแห้ง ผอมโทรมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมเสื้อผ้าทั้งเก่าทั้งขา ด เท้า
ทั้งคู่เปลือยเปล่าไม่ได้ใส่รองเท้ามีแต่ความสกปรก และรอย
แผลถลอกที่มีคราบเ ลือดแห้งเกาะอยู่เต็มไปหมด ข้างตัวแม่มีกระสอบเก่า ๆวาง
อยู่สองใบ แม่ลูกสบตากัน หลิวกังยังกำลังต กใจ
กับสภาพที่เห็นตรงหน้าด วงตาที่ฝ้าฟางของแม่เริ่มมีน้ำตาเอ่อล้น
“ลูกจ๋าสบายดีนะ จดหมายที่ลูกส่งไปที่บ้านได้รับทุ กฉบับอย่ าหาว่าพ่อแม่
ใจร้า ยเลยนะ แต่มันปลีกตัวมาเยี่ยมลูกไม่ได้จริง ๆพ่อแกป่ วยหนัก แม่ต้องดูแล
เขาแล้วระยะทางจากบ้านมาที่นี่ก็ไกลโขอยู่”
พอพูดมาถึงตรงนี้ ก็มีหัวหน้าเจ้าหน้าที่ยกเอาบะหมี่ร้อน ๆ เข้ามาให้ชามหนึ่ง “คุณป้าครับ
เดินทางมาไกลกินบะหมี่ก่อนแล้วค่อยคุยต่อ”แม่หลิวกังรีบลูกขึ้นพร้อม
ปฏิเสธว่า “ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้”หัวหน้ายื่นชามใส่มือแม่หลิวกัง “คุณป้าอายุก็รุ่นราวคราว
เดียวกับแม่ผมคุณป้าไม่ต้องเกรงใจ นึกเ สียว่ากินบะหมี่จากลูกหลานสักชามก็แล้วกัน”แม่
หลิวกังไม่สามารถปฏิเสธอีกรับมาเสร็จก็ก้มหน้าก้มตากินอย่ างเอร็ดอร่อยคล้ายกับ
ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันหลังกินบะหมี่เสร็จ หลิวกังเห็นเท้าแม่มีแต่ บ า ด แ ผ ล จึง
ถามว่า “เท้าแม่เป็นอะไร ทำไมไม่ใส่รองเท้า”แม่ยังไม่ได้ตอบ หัวหน้าชิงตอบก่อน
“แม่แกเดินเท้าจากบ้านมาถึงนี่ รองเท้าสึกจนขา ดกระจุยหมดระหว่างทาง”
“เดินมา…” หลิวกังหวนนึกถึงเส้นทางจากบ้านถึงนี่ก็ราว ๆ 200 กิโลเมตร
แล้วเส้นทางล้วนเป็นภูเขาเ สียส่วนใหญ่หลิวกังค่อย ๆ นั่งลงกับพื้น
พร้อมทั้งประคองเท้าแม่ที่บวมแทบไม่เป็นรูปทรงขึ้นมาเบา ๆ“แล้วทำ
ไมแม่ไม่นั่งรถมา ทำไมไม่ซื้อรองเท้าใส่อีกสักคู่”แม่รีบหดขา ทำสีหน้าแบบ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น“นั่งรถทำไม ค่อย ๆ เดินมาก็ได้อยู่ เออ…ปีนี้เกิดโร คระบา ดห มู
ที่บ้าน ต า ย หมด ฝนก็แล้ง เก็บเกี่ยวก็ไม่ดีพ่อแกก็ป่ วยหนัก
เสี ยเงิ นรัก ษาไปเยอะหากพ่อแกอาการดีกว่านี้
พวกเราคงมาเยี่ยมลูกนานแล้ว อย่ าโกรธพ่อแม่นะ”
หัวหน้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แอบเช็ดน้ำตาแล้วเดินออกจากห้องเยี่ยมไป “แล้วอาการพ่อดีขึ้นหรือยัง”
หลิวกังไม่ได้ยินคำตอบจากแม่ พอเงยหน้าก็เห็นแม่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่“ผงมันคงเข้าตา ถามถึงพ่อใช่ไหม
พ่อดีขึ้นเยอะแล้ว พ่อฝากมาบอกว่าอย่ าได้เป็นห่วงพ่อ ขอให้ลูกกลับเนื้ อกลับตัวเป็นคนดีก็พอ”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่เดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมยื่นคูปองของสหกรณ์คอมมูน ที่สามารถ
ไว้ใช้แลกเสบียงอาหารและของใช้จำเป็นให้แม่หลิวกังจำนวนหนึ่ง“คุณป้าครับ
นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเจ้าหน้าที่ของเราทุ กคนที่นี่อย่ าเดินเท้าเปล่ากลับบ้านเด็ด
ขา ด ไม่งั้นหลิวกังคงทุ กข์ใจแน่ ๆ”แม่หลิวกังก็ต้องรีบปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่ได้เด็ดขา ด ลูกฉันอาศัยพัก
อยู่ที่นี่ก็รบกวนพวกคุณมามากแล้ว หากยังรับเ งินจากพวกคุณอีกเหมือน
สา ปแ ช่งตัวฉันเองว่าเป็นผู้ไม่รู้คุณคน”หัวหน้าบอกว่า “คนเป็นลูกไม่มีปัญญาดูแลพ่อแม่
แล้วยังทำให้พ่อแม่ต้องมาหนักอกหนักใจนี่ยังต้องเดินเท้าเปล่าตั้งหลายร้อย
กิโลมาเยี่ยมลูกหากยังเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน หลิวกังก็คงไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่ในตัว”
หลิวกังทนไม่ไหวอีกต่อไป ได้แต่ร้องไห้ด้วยเ สียงสั่นเครือว่า“แม่…” แล้วก็
ไม่สามารถพูดอะไรต่อไปอีกเ สียงร้องไห้ระงมจากนอกห้อง เป็นเสี ยง
ร้องไห้ของเหล่านักโ ทษที่มาทำงานอยู่บริเวณนั้นมายืนดูเป็นการอนุญาต
ในกรณีพิเศษจากเจ้าหน้าที่ ให้มาเฝ้าสังเกต การณ์มาถึงตอนนี้ ก็มีเจ้าหน้าที่อีกคน
ซึ่งมีหน้าที่ตรวจเช็คสัมภาระของผู้มาเยี่ยม
เดินเข้ามาสมทบในห้อง ซึ่งสัมภาระในกระสอบสองใบที่แม่หลิวกังนำติ ดตัวมา
ก็ได้ผ่ านการตรวจเช็คจากเขามาแล้วก่อนหน้านี้เขาแกล้งพูดด้วยน้ำเ สียง
ผ่อนคลายว่า“อย่ าร้องไห้กันเลย แม่มาเยี่ยมก็ควรจะดีใจควรยิ้มให้
กันมากกว่า แกมาดูสิว่าแม่เอาอะไรมาฝากแกบ้างหลิวกัง” พูดเสร็จเขา
ก็คว้ากระสอบใบแรกแล้วเทของออกมาแม่หลิวกังห้ามไม่ทัน
แล้วสิ่งที่ทุ กคนเห็นก็ทำให้นิ่งอึ้งไปหมดมันล้วนเป็นหมั่นโถวแห้ง ๆ แผ่น
ขนมปังแข็ง ๆแต ก ๆ หั ก ๆ แข็งราวกับก้อนหิน และขนาดแต่ละ
ชิ้นก็ไม่เท่ากันเลยไม่ต้องบอกก็รู้ เหล่านี้ล้วนเป็นเสบียงที่แม่หลิว
กังขอทานเขามาตลอดทางแม่หลิวกังต้องก้มหน้าด้วยความอาย
ได้แต่พูดว่า“ลูกจ๋า อย่ าโท ษแม่เลยนะที่ต้องทำอย่ างงี้ที่บ้านไม่สามารถ
หาอะไรมาให้ลูกได้จริง ๆ”หลิวกังเหมือนยังไม่ได้ยินที่แม่พูด
แต่สายตาเพ่งไปจับจ้องกับสิ่งของที่ถูกเทออกมาจากกระสอบใบที่สอง
มันเป็นกล่องใส่อัฐิกล่องหนึ่ง หลิวกังงงไปหมด“แม่นี่มันอะไรกัน”
แม่ทรุดตัวลงไปกับพื้นอย่ างหมดแรงเนื้ อตัวสั่นไปหมด รออยู่นานกว่า
จะมีเ สียงพูดออกมาอย่ างสั่นเครือว่า“นั่นคืออัฐิของพ่อแก เพราะพ่ออย าก
รวบรวมเงิ นเพื่อเดินทางมาเยี่ยมลูก พ่อแกต้องทำงานอย่ างหนักทั้งวัน
ทั้งคืนร่า งกายเลยรับไม่ไหว ในที่สุดก็ล้ มป่ วยลง
รั กษายังไงก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายก่อนต ายพ่อแกบอกกับแม่ว่า
คงนอน ต า ย ตาไม่หลับแน่เพราะไม่เคยมาเยี่ยมลูกสักครั้ง
บอกแม่ว่าแม้จะ ต า ย ไปแล้ว ก็ขอให้แม่พามาเยี่ยมลูกให้ได้ขอพบหน้า
ลูกเป็นครั้งสุดท้ายในชาตินี้”หลิวกังตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า สะอื้นสุด
เ สียงพร้อมน้ำตาว่า“พ่อครับ…ผมกลับเนื้ อกลับตัวแน่…พ่ออย่ า
ได้เป็นห่วง…ผมขอโ ทษ…”และแล้วก็ทิ้งตัวคุ กเข่าลงกับพื้น เอาหน้า
ผากโขกกับพื้นอย่ างแรงเหล่านัก โ ท ษ ที่ยืนดูอยู่นอกห้องล้วนทรุดตัว
คุ กเข่าลงกับพื้นอย่ างไม่ได้นัดหมายเ สียงร้องไห้ระงมเซ็งแซ่ไปหมดทั่วเรือนจำ
เกิดเป็นคนทั้งที อย่ าได้สร้างความหนักอกหนักใจมาประเคนให้พ่อแม่
เลยบุญคุณท่านล้นเหลือที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามาหากไม่รู้จักกตัญญู
รู้คุณท่าน ยังมาซ้ำเติ มด้วยเรื่องเ สีย ๆหาย ๆ ให้ท่านทุ กข์ใจนานับประการ
ขอถามลูกทูนหัวที่ว่านี้ ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า
ขอบคุณที่มา :ขจรศักดิ์ (แปลและเรียบเรียง) lifein-hug